เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ต.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันพระเห็นไหม วันพระวันโกน โบราณของเราไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อตักตวงเอามรรคเอาผล เอาบุญกุศลของเราไง ถ้าบุญกุศลของเรา บุญมันคืออะไร บุญต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร

บุญคือเจตนาของใจพอใจมันมีเจตนาอยากจะทำบุญกุศล บุญเกิดตรงนั้นน่ะถ้าบุญเกิดตรงนั้นนะ นั่นคือมโนกรรมมโนกรรมขึ้นมาแล้วมันจะเสร็จสมบูรณ์ของมันเราจะเสียสละอะไร ถ้าเสียสละอะไร เขาเตรียมอาหารวันโกนสมัยโบราณเขาต้องทำอาหารกันเอง มันไม่มีอาหารถุง

เจตนาเจตนาทำคุณงามความดีตลอด เจตนาเราจะไปวัดไปวาเจตนาเราจะไปเห็นสมณะ เห็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่๓ ที่ ๔ การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นมงคลชีวิตของเราไง ชีวิตของเรา เราอยู่กับโลกเราก็เจอแต่มนุษย์นี่แหละเราก็เจอแต่คนนี่แหละ มีแต่แข่งขัน มีแต่แย่งชิงกัน

ถ้าไปวัดไปวาไปเจอพระเจอเจ้านะ พระได้เสียสละจากฆราวาสมาเป็นพระ เป็นพระขึ้นมา ท่านมุ่งเน้นของท่านเพื่อจะค้นคว้าหาสัจธรรมในใจของท่าน ถ้าค้นหาสัจธรรมในใจของท่านเราไปทำบุญกุศลกับท่าน ถ้าท่านได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญาได้ความสุขใจของท่าน เกิดจากความส่งเสริมของเรา เกิดจากบุญกุศลของเราไง นี่คนที่เขามีปัญญาๆ เขาไปวัด ไปวัดอย่างนี้เขาไปเพื่อตักตวงเอามรรคเอาผล เอาความสุขใจ เอาความสุขใจ เอาความพอใจของเราไง

เราอยู่กับโลกเราต้องแข่งขัน เราต้องเห็นหน้ากันทุกวันๆ มันมีการแข่งขัน มันคู่แข่งขันทั้งนั้นน่ะเราไปวัดไปวานี่ไม่ใช่ ท่านเสียสละแล้ว ท่านไม่แข่งขันแบบเราไง ท่านออกจากสนามไปแล้วท่านออกจากสนามไปแล้วท่านขวนขวายของท่านน่ะ เราไปส่งเสริมท่านๆแล้วท่านทำประโยชน์ของท่านขึ้นมาได้เกิดจากการส่งเสริมของเรา บุญกุศลมันเกิดตรงนี้ไง นี่วันพระเห็นไหม

เราเกิดเป็นมนุษย์นะเกิดเป็นมนุษย์เกิดในประเทศอันสมควรนะ ในประเทศอันสมควร เราเกิดในชุมชนที่นับถือพระพุทธศาสนาพระพุทธศาสนาสอนเรื่องบุญกุศล เรื่องบุญกุศล เรื่องหัวใจของเรา ได้มากได้น้อยมันอยู่ที่น้ำใจของเรา ไม่ต้องไปแข่งขันกับใครเรื่องวัตถุแข่งขันกับเขาเรื่องเจตนาของเรา เรื่องหัวใจของเราน่ะ ถ้าหัวใจของเราของมันจะน้อยของมันจะไม่มีค่า ก็ของเราน่ะสุดความสามารถของเรามันมีค่ายิ่งใหญ่มันยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ที่เจตนาอันนั้นไง เราไปวัดไปวากันที่นั่นนะ

เราเกิดในประเทศอันสมควร ดูข่าวนะเวลาพายุมันเข้าตายทีหนึ่งเกือบพัน ๘๐๐ กว่าศพนั่นไง ตายประเทศอันไม่สมควร เห็นไหมเวลาพายุมันเข้ามาไม่มีทางต่อต้านใดๆ ได้เลยยืนเผชิญกับความเสียชีวิตเพราะมันพัดกระหน่ำเข้ามามันจะหลบซ่อนที่ไหน มันเป็นไปหมด นี่ประเทศอันไม่สมควรไงแต่ประเทศอย่างนั้นเขาก็อยู่กันอย่างนั้น แต่ของเรา เราเกิดในประเทศอันสมควร

ดูชีวิตสิตายทีเดียวพร้อมกันเป็นพันๆ คนแล้วเราล่ะๆ ชีวิตของเรามันมีค่าแค่ไหนล่ะ ถ้าชีวิตมีค่าแค่ไหนถ้าเราคิดได้อย่างนี้ปั๊บ ความที่ว่ามันแบกทุกข์แบกยาก แบกทุกข์แบกโศกในหัวใจของเรามันจะเบาบางลงไงมันเบาบางลงทันทีนะ แต่นี่เวลาเราทุกข์เรายากในหัวใจของเรา เราคิดตอกย้ำแต่ความคิดแต่ในใจของเรานั่นน่ะ มันไม่มีสิ่งใดที่จะมาลดทอนเลยหรือ ถ้ามันมีสิ่งใดมาลดทอนๆ นี่ไง บุญกุศล ถ้าบุญกุศลบุญกุศลมันสร้างอำนาจวาสนามามันจะมีเจตนามันจะมีมุมมองของมัน

ถ้ามุมมองของเรา มุมมองของเราคือมันเกิดปัญญาถ้าปัญญามันมีสำนึกขึ้นมาได้ชีวิต ดูสิ เรามีปู่มีย่า มีพ่อมีแม่แล้วก็มีเรา มันกี่ชั่วอายุคนล่ะ มันก็เป็นอย่างนี้โลกเขามีการแข่งขันกันอย่างนี้ แต่เวลาเราเกิดมา เกิดมาจากพ่อจากแม่เป็นสัมมาทิฏฐิพ่อแม่เป็นสัมมาทิฏฐิก็สอนลูกให้เป็นคนดี ถ้าลูกเป็นคนดี สังคมเขาจะตราหน้าว่าเราเป็นคนจนเราเป็นคนรวยนั่นก็เรื่องของสังคมทั้งนั้นน่ะถ้าเรื่องมันจะดีมันจะชั่วมันก็ดีชั่วในใจของเรานี่แหละ ถ้าในใจของเรา

อภิชาตบุตร บุตรที่เกิดมาดีจากพ่อจากแม่ เกิดมาแล้วพ่อแม่มีความสุขมีความพอใจเกิดมานี่ เวลาพ่อแม่จะมีความสุขๆ เพราะลูกของเรามีความสุข ลูกของเรามีที่ยืนในสังคม แค่นี้พ่อแม่ก็มีความสุขแล้ว นี่ความสุข แล้วไอ้เรื่องที่ประสบความสำเร็จทางโลกๆอันนั้นวาสนาบารมีของคน

ถ้าวาสนาบารมีของคน คนเราได้สร้างสมสิ่งใดมามันก็มีโอกาสมีจังหวะของเขา แล้วของเรา เราหลุดไม้หลุดมือของเราไปบางครั้งบางคราว เราก็พยายามทำของเราไง ดูสิ เวลาเขามาบวชเป็นพระๆ มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรคนเรามันจะประสบความสำเร็จมันต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะแล้วมันต้องมีสติปัญญา สติปัญญาที่ทำให้มันชอบธรรมสุจริตชน ความสุจริตจะคุ้มครองเราไง ถ้าเรามีความสุจริต

ฉะนั้นเวลาความคุ้มครองเรานะ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมธรรมะจะคุ้มครอง เห็นไหม ผู้ถือศีลๆศีลจะคุ้มครองเราไง ศีลธรรมจะคุ้มครองมนุษย์นะคุ้มครองที่ไหนล่ะ คุ้มครองที่เราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น ถ้าเราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้น

มันมีคนที่ไม่ได้ทำความผิดแล้วติดคุกๆเวลาคนเขาติดคุกเขาไปสัมภาษณ์นะ ไม่ทำความผิดทำไมติดคุก แล้วยอมรับหรือ แต่คนถ้าเขามีสติปัญญาเขาบอกว่ามันก็เป็นกรรมเก่า เขายอมรับ ถ้าเขายอมรับมันก็ไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก คนที่ไม่ทำความผิดติดคุกก็มี

นี่พูดถึงว่าเวลาทำมาๆ สิ่งที่ทำมาๆ สิ่งที่เขาทำมาเขาประสบความสำเร็จของเขา ถ้าประสบความสำเร็จของเขา อนุโมทนาทานๆ เราทำได้ไหม ถ้าเราทำไม่ได้ ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา ศีลธรรมจะคุ้มครองหัวใจของเรานี่ไง ถ้าศีลธรรมมันคุ้มครองหัวใจ

เราไปหาของศักดิ์สิทธิ์ๆกัน ของศักดิ์สิทธิ์มันจะมีที่ไหนล่ะ ของศักดิ์สิทธิ์ ดูสิพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รัตนตรัย แก้วสารพัดนึกของเราไง ถ้าแก้วสารพัดนึกของเรา เห็นไหม เราจะแจกหนังสือหลวงปู่จวนๆ ดูสิชีวิตประวัติของท่าน ท่านสมบุกสมบันมาขนาดไหน แล้วเราไม่ต้องไปสมบุกสมบันขนาดนั้น เราไม่ได้ว่าเราต้องดำเนินชีวิตแบบนั้นๆ แต่การดำเนินชีวิตแบบนั้น คนที่เขามีเจตนา มีความมั่นคงของท่านท่านทำของท่านดูสิ ครูเอกของโลก ครูเอกของโลกก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์นะ สถานะเป็นถึงกษัตริย์ละทิ้งนั้นออกมาออกมาเป็นขอทาน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญกุศลด้วยอำนาจวาสนาบารมีของท่าน ทุกคนก็อยากพบอยากเห็น อยากอังคาสด้วยมือของตน อยากทำบุญกุศล นี่ไงชีวิตเรามันมีลุ่มๆ ดอนๆอย่างนั้นไง

นี่ก็เหมือนกันประวัติครูบาอาจารย์ของเราท่านบุกบั่นมาท่านสมบุกสมบันมา สมบุกสมบันมาจนเป็นรัตนตรัยของเราเป็นพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเราไง เราอ่านแล้วเป็นคติเป็นแบบอย่างของเรา ไม่ใช่ว่าต้องทำตัวแบบนั้นๆ มันทำไม่ได้หรอก ก็อปปี้มาไม่ได้ ของมันไม่ชอบ จริตนิสัยมันชอบสิ่งใดๆ

นี่ก็เหมือนกัน คนที่จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันมีความชอบ มีความผูกพันอย่างใด เราต้องแก้ความผูกพันอันนั้นแก้ความผูกพันอันนั้น นี่ไง เราไม่ได้ไปก็อปปี้อย่างนั้นมา แต่เราอ่านเป็นคติธรรม เป็นคติเป็นแบบอย่าง แล้วเอามาใช้กับชีวิตของเราไง

ชีวิตของเรานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ของเราท่านสมบุกสมบันอย่างนั้นเพื่อท่านจะพ้นจากทุกข์ ไอ้ของเราไม่ต้องสมบุกสมบันขนาดนั้น เราจะสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเราเพื่อให้หัวใจของเรามันมีร่มโพธิ์ร่มไทรไง

ครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ ถ้าจิตดวงใดก็แล้วแต่ทำสมาธิได้ มีสมาธิมีความสงบสุขในหัวใจ ถ้ามีบ้านมีเรือนนะจิตใจของคนที่มีบ้านมีเรือนกับจิตใจของคนเร่ร่อน คนข้างถนน คนข้างถนนเขาทำความผิดพลาดมา เขาไม่มีบ้านไม่มีเรือน เขาต้องมานอนข้างถนนเวลาฝนตกแดดออกเขาต้องคอยหลบคอยหลีกคนที่มีบ้านมีเรือนขึ้นมาเขามีที่พึ่งที่อาศัยในบ้านในเรือนของเขา มีความอบอุ่นในบ้านของเขา

จิตใจของเราๆ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา นี่ไง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมธรรมะจะคุ้มครอง มีศีลศีลก็คุ้มครองเราถ้ามีสมาธิ สมาธิก็คุ้มครองเรา ถ้าเกิดมีปัญญามันยิ่งคุ้มครองเราใหญ่เลย ความคุ้มครองเรา นี่รัตนตรัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไงเป็นแก้วสารพัดนึกของใจไง ใจดวงใดมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ระลึกถึงได้มากน้อยแค่ไหน จะสร้างสมคุณประโยชน์กับใจของเราได้มากน้อยแค่ไหนใจของเราๆ ทั้งนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนสอนถึงมนุษย์ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ทุกข์เกิดที่ไหนทุกข์ดับที่นั่น ถ้าทุกข์เกิดที่ไหนทุกข์ดับที่นั่นเห็นไหม สิ่งที่สัมผัสธรรมะได้คือความรู้สึกของเราเท่านั้นน่ะ

ทีนี้เราก็ไปมองกัน ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลศาสนวัตถุก็วัดวาอารามไง สร้างกันวิจิตรพิสดารขึ้นไป อันนั้นมันเป็นเรื่องของโลกนะ มันเป็นวัฒนธรรม อันนั้นก็สาธุ เป็นเรื่องของเขา ศาสนบุคคลๆ บุคคลที่จะเป็นผู้นำบุคคลที่จะชี้แจงต่อเรา บุคคลคนนั้นเขามีความรู้จริงในหัวใจหรือไม่

ถ้ามีความไม่รู้จริงในหัวใจ ในหัวใจถนนหนทาง ไปถนนยังหลงทางกันเลย แล้วก้าวเดินของใจ ใจจะก้าวเดินเข้าไปสู่อริยสัจ ใจจะก้าวเดินไปสู่สัจจะความจริง ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงแสวงหาๆ แสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ชี้นำ แสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ชี้นำไง

แต่ของเราปัจจุบันนี้โลกเจริญ ทางการศึกษาเจริญ อ้าว! ก็มีตำรับตำราอยู่แล้ว ตำรับตำรา สิ่งที่เป็นตำรับตำราธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราศึกษาๆ ศึกษาก็ศึกษาด้วยกิเลสของเรา กิเลสของเราเวลาศึกษาแล้ว ถ้าชอบใจก็ว่าใช่ถ้าไม่ชอบใจก็ว่าไม่ใช่ ด้วยความชอบและไม่ชอบนั้นน่ะมันถึงเป็นกลุ่มเป็นหมู่เป็นเหล่า พอเป็นกลุ่มเป็นหมู่เป็นเหล่าแล้วมันก็เกิดเป็นนิกายเกิดเป็นหมู่คณะเกิดเป็นนั้นไป

แต่เวลาหลวงปู่มั่นเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา ไก่มันก็ยังมีชื่อ ไก่ยังมีสายพันธุ์เลย สายพันธุ์ของไก่ แล้วเป็นคนล่ะ เออ! เราเป็นคน เราไม่ใช่ไก่ อะไรที่เป็นความจริงๆเราต้องการความจริงต่างหาก เราไม่ต้องการสายพันธุ์ใดทั้งสิ้นเราต้องการความสัจจะจริงอันนั้นไง ถ้าความสัจจะจริงอันนั้น วิธีการประพฤติปฏิบัติจะประพฤติปฏิบัติมาจากไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันเข้าสู่สัจจะความจริงก็เป็นความจริงอันเดียวกันๆ มันเป็นจริตนิสัย

ฉะนั้นถึงบอกว่า เราศึกษาครูบาอาจารย์ของเรา ไม่ใช่ว่าต้องก็อปปี้จะเอาแบบนั้นๆ เลย ไม่ได้หรอก ไม่ได้เพราะมันไม่ถูกจริตเราไง มันไม่ถูกจริตเรามันก็ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ถ้าไม่ใช่ทุกข์ของเรา เราก็แก้ทุกข์ของเราไม่ได้ ไอ้ทุกข์ของเราๆ นั่นน่ะ ไอ้ตรงกับความรู้สึกเราอันนั้นน่ะแล้วอันนั้นน่ะ เราจะประพฤติปฏิบัติเอาอันนั้นไง ถ้าอันนั้นแล้วจะถอดถอนอย่างนั้น

ถ้าถอดถอน ไอ้การถอดถอนนั่นน่ะคืออันเดียวกันเวลาถอดถอนได้จริงเป็นอันเดียวกัน อริยสัจมันมีหนึ่งเดียวๆอริยสัจต้องเป็นอันเดียวกันทั้งนั้นน่ะ แม้แต่อันเดียวกัน เห็นไหม สมณะที่ ๑สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔สมณะมันขึ้นต้นตรงไหนแล้วมันจบลงตรงไหนล่ะมันต้องขึ้นต้นได้แล้วจบลงได้ ขึ้นต้นได้แล้วจบลงได้มันถึงจะเป็นสัจจะความจริง

แต่เวลากระทำ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ใช่สพฺเพ ธมฺมาอนตฺตา เพราะความเป็นอนัตตา สพฺเพธมฺมา อนตฺตาเป็นกุปปธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ๆแต่เวลาสอนแล้วเวลาสมณะที่ ๑ ที่๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ถ้ามันเป็นจริงแล้วต้องสอนอีกไหม

เวลาไม่ต้องสอนเลยพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะเวลาสำเร็จไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกันด้วย มันเป็นสัจจะความจริงในใจของพระสารีบุตร ในใจของพระโมคคัลลานะ นี่เป็นความจริงๆ เป็นความจริงก็เป็นความจริง

สิ่งที่ว่าเราศึกษาๆ มาศึกษาความชอบไม่ชอบอันนี้มันอีกเรื่องหนึ่ง มันถึงเป็นจริตเป็นนิสัย ฉะนั้น เราศึกษามาเพื่อประโยชน์กับเราเนาะ

เราอุตส่าห์เก็บรวบรวมมา นี่พูดถึงตำรับตำรานะประวัติครูบาอาจารย์ ทีนี้เอามาศึกษา ไม่ใช่ว่าจะเอามาอย่างนั้นแล้วเราจะต้องทำตัวอย่างนั้น ไม่ใช่ๆๆ เพราะเวลาครูบาอาจารย์ท่านหลากหลายท่านมีจริตนิสัยต่างๆ อำนาจวาสนาคนมันไม่เหมือนกัน แต่เป็นคตินะ

๑. เป็นคติ

๒. มีผู้เดินไปข้างหน้า

เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป “มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันจะเป็นไปได้อย่างไร”

ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติอยู่ข้างหน้า ท่านเดินไปข้างหน้าแล้วท่านจูงเราไปๆ ถ้ามันมีคนจูง มีคนชี้ทาง มีคนบอกทาง อืม! มันก็น่าเดินเนาะทุกข์ก็ทุกข์ขนาดนี้ ยังมืดบอดอีกทำไปมีแต่ความทุกข์ยาก แล้วใครรู้ช่วยบอกทีใครรู้ช่วยบอกทีนะ

เวลาบอกทีๆ เวลาถ้าเป็นจริงมันต้องการอย่างนั้นน่ะ แต่กิเลสมันก็อยู่กับเราน่ะ เวลาบอกมามันก็เคลือบแคลงสงสัย ไม่จริง ไม่แน่นอนทั้งนั้นน่ะ ถ้าแน่นอน แน่นอนมันก็จะก็อปปี้อีกแล้ว ก็อปปี้ไม่ใช่

เวลาฟังมา แล้วเวลาพิจารณาขึ้นมาเป็นจริงอย่างนั้นมันยังเป็นสัญญาเลย มันเกิดจากสัญญาไง ถ้าเกิดจากสัญญา เกิดจากสัญญาบ่อยครั้งเข้าๆ จนเราเห็นโทษ เกิดจากสัญญา เริ่มต้นจากข้อมูลเดิมแล้วเราพิจารณาของเราไป เอ๊ะ! มันก็ดีน่ะ แต่มันไม่ลงสู่จิตใต้สำนึก มันไม่ลงสู่กิเลสแท้ๆในใจของเรา

แต่ถ้าเราจับของเรา เราพิจารณา สิ่งที่เป็นสัญญาๆพิจารณาซ้ำแล้วต้องซ้ำ ซ้ำเพื่ออะไร จากสัญญาจากที่นักเรียนเรียนมาจากครูใช่ไหม แล้วครูให้ฝึกหัดใช่ไหมพอฝึกหัดแล้วมันก็ทำขึ้นมาถูกต้องใช่ไหม แล้วเราล่ะ สมองของเราล่ะ เราจะทำอย่างไร

เราก็ทำซ้ำๆ ขึ้นไป เดี๋ยวมันจะมีช่องทางช่องทาง เออ! อันนี้เราทำได้ ทำได้เพราะครูสอน ถ้าเราพลิกแพลงจะเป็นของเราล่ะพลิกแพลง มันจะลึกเข้าไปๆ เวลาปัญญามันเกิดมันจะเกิดอย่างนั้น ถ้าปัญญาเกิดอย่างนั้นน่ะ คนภาวนาไปแล้วที่ว่าโลกุตตรธรรมๆโลกียปัญญาโลกุตตรปัญญามันจะรู้มันจะเห็นของมัน มันชัดเจนของมันๆนะ ชัดเจนของมัน เพราะชัดเจนของมัน มันถึงเข้าถึงจิตใต้สำนึกนั้นเข้าไปถึงก้นบึ้งของกิเลสนั้นแล้วถ้ามันสำรอกมันคายนั่นน่ะ อกุปปธรรมๆ มันจะอนัตตาตรงไหน

ถ้ามันอนัตตา สมณะที่๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔มันก็ต้องคลอนแคลนสิสมณะที่ ๔ ก็ต้องร่วงหล่นมาเป็นสมณะที่ ๓ สมณะที่ ๓ ก็ร่วงมาเป็นสมณะที่ ๔ มันหมุนไปหมุนมาอย่างนั้นหรือ...ไม่

อฐานะๆหนึ่งก็เป็นหนึ่งตลอดไป มีแต่ขึ้นเป็นสอง สองก็เป็นสองตลอดไป มีแต่ขึ้นเป็นสาม ไม่ลงต่ำ ถ้าสามก็สามแค่นั้นถ้าจะขึ้นก็ขึ้นสี่พอจบจากสี่แล้วมรรค ๔ ผล ๔นิพพาน ๑ เอวัง